ขนาดตัวอักษร
แจ้งข้อมูล ก.ธ.จ. คำถามที่พบบ่อย แผนผังเว็บไซต์
ก.ธ.จ.

คณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด

“โปร่งใส ไร้ทุจริต คือภารกิจ ก.ธ.จ.”

  • วันหยุดนักขัตฤกษ์
  • กิจกรรมของ ก.ธ.จ.

ข่าวประชาสัมพันธ์และกิจกรรมล่าสุด

28 มี.ค. 2567

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของ ก.ธ.จ. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567

อ่านต่อ >
13 มี.ค. 2567

รายงานผลการดำเนินงานคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดสงขลา ปีงบประมาณ ๒๕๖๖

อ่านต่อ >
08 มี.ค. 2567

ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง รับรองรายชื่อกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด (วาระที่ ๕)

อ่านต่อ >
คำถามที่พบบ่อย
เกี่ยวกับคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด (ก.ธ.จ.)
๑. ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ จะสมัครเข้ารับการสรรหา เป็น ก.ธ.จ. ได้หรือไม่

ตอบ

“ ตามเจตนารมณ์ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด พ.ศ. ๒๕๕๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ นั้น ก.ธ.จ. คือ ผู้แทนของภาคประชาชน ที่เข้ามามีบทบาทในการสอดส่องการปฏิบัติงานของหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ในการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี อันเป็นความพยายามในการเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบการบริหารบ้านเมืองทั้งในระดับภูมิภาคและท้องถิ่น ฉะนั้น หากยินยอมให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถสมัครรับการสรรหาเป็น ก.ธ.จ. ได้แล้ว ก็จะเท่ากับเป็นการยินยอมให้ผู้ตรวจสอบและผู้ถูกตรวจสอบเป็นคนๆ เดียวกัน ซึ่งขัดกับหลัก Conflict of interest หรือหลักผลประโยชน์ทับซ้อน และยังเป็นการขัดกับหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีและหลักธรรมาภิบาลอีกด้วย ซึ่งการยินยอมเช่นว่านั้นจะทำให้การตรวจสอบการปฏิบัติงานของภาครัฐเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ และไม่ต้องตามเจตนารมณ์ของระเบียบฯ
     ทั้งนี้ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับการวินิจฉัยถึงคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเข้ารับการสรรหาเป็น ก.ธ.จ. ซึ่งถือเป็นปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบฯ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจึงอาศัยอำนาจตามข้อ ๓๐ แห่งระเบียบฯ วินิจฉัยว่า ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่อาจสมัครเข้ารับการสรรหาเป็น ก.ธ.จ. ได้ ทั้งนี้ ในการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบฯ ครั้งต่อไป ก็จะได้กำหนดให้ความเป็นข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นลักษณะต้องห้ามของ ก.ธ.จ. ต่อไป ”
๒. กรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดได้รับค่าตอบแทนในการปฏิบัติหน้าที่อย่างไรบ้าง

ตอบ

“ เจตนารมณ์ของระเบียบฯ คือ ต้องการการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน โดยอาศัยจิตสาธารณะที่จะเข้ามาสอดส่องการปฏิบัติงานของภาครัฐให้เป็นไปตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ประกอบกับมาตรา ๕๕/๑ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้บัญญัติให้ มีการกำหนดรายละเอียดในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับจำนวน วิธีการสรรหา และการปฏิบัติหน้าที่ของ ก.ธ.จ. แต่ไม่ได้บัญญัติให้ต้องมีการกำหนดเกี่ยวกับค่าตอบแทนของ ก.ธ.จ. ไว้ในระเบียบฯ ด้วยแต่อย่างใด
     อย่างไรก็ดี ก.ธ.จ. ถือเป็น “คณะกรรมการ” ตามพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ พ.ศ. ๒๕๔๗ จึงได้รับเบี้ยประชุมในอัตรา ดังนี้ ประธาน ก.ธ.จ. ได้รับ ๒,๐๐๐ บาท และกรรมการได้รับ ๑,๖๐๐ บาท ต่อการประชุมหนึ่งครั้ง แม้ค่าตอบแทนในการปฏิบัติงานจะไม่มากนักแต่ประโยชน์ตอบแทนที่มีคุณค่ามากกว่าตัวเงิน ซึ่ง ก.ธ.จ. จะได้รับจากการปฏิบัติงาน ก็คือ ความเจริญสถาพรของประเทศชาติ ซึ่ง ก.ธ.จ. ทุกท่านควรภาคภูมิใจที่ตนเป็นส่วนหนึ่งของกลไกในการทำให้ประเทศชาติพัฒนา ”
๓. การที่ระเบียบฯ กำหนดให้ ผู้สมัครเข้ารับการสรรหาเป็นผู้แทนภาคประชาสังคม ต้องเป็นสมาชิกของกลุ่มประชาสังคมที่มีวัตถุประสงค์ในการพัฒนา ส่งเสริม หรืออนุรักษ์ ฟื้นฟูด้านเศรษฐกิจ สังคม ทรัพยากรธรรมชาติ หรือสิ่งแวดล้อมของชุมชนนั้นมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปีนับถึงวันสมัครเข้ารับการสรรหา หรือเป็นบุคคลซึ่งเป็นที่ยอมรับจากประชาชนในชุมชนนั้นว่าเป็นผู้มีความรู้และความสามารถในด้านดังกล่าว ตามข้อ ๘ (๑) นั้น จะเป็นการสร้างภาระให้แก่อำเภอในการหาผู้ที่เหมาะสมเพื่อสมัครเข้ารับการสรรหาหรือไม่

ตอบ

“ เพื่อให้การพิจารณาคุณสมบัติของผู้สมัครเข้ารับการสรรหาเป็น ก.ธ.จ. ภาคประชาสังคมเป็นไปในแนวทางเดียวกัน และไม่เป็นภาระกับจังหวัดในการพิจารณาคุณสมบัติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี จึงได้กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับคุณสมบัติดังกล่าว ว่า การเป็นสมาชิกกลุ่มประชาสังคมนั้น ให้ผู้สมัครแนบหลักฐานการจดทะเบียนหรือหลักฐานอ้างอิงการเป็นกลุ่มหรือองค์กรที่ผู้สมัครเป็นสมาชิก รวมทั้งหลักฐานการเป็นสมาชิกกลุ่มดังกล่าวมาแล้วไม่น้อยกว่า ๑ ปีนับถึงวันสมัคร เช่น หนังสือรับรองจากประธานกลุ่ม รายงานการประชุมของกลุ่ม เป็นต้น สำหรับการเป็นที่ยอมรับจากประชาชน ให้แนบใบรับรองจากกำนัน หรือผู้ใหญ่บ้าน หรือประธานชุมชน หรือประชาชนผู้มีสัญชาติไทย อายุไม่ต่ำกว่า ๑๘ ปีบริบูรณ์ในวันรับรอง ที่อยู่ในหมู่บ้านหรือชุมชน จำนวนไม่น้อยกว่า ๑๕ คน ลงลายมือชื่อรับรองว่า เป็นผู้มีความรู้ความสามารถจริง ไว้ในใบสมัครเข้ารับการสรรหาเป็น ก.ธ.จ. ”
๔. กรณีคุณสมบัติของผู้สมัครเข้ารับการสรรหาในข้อ ๘ (๗) ซึ่งกำหนดว่า “ ต้องไม่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ...” นั้น การได้รับโทษจำคุกจะรวมถึงการที่ศาลมีคำพิพากษา ให้รอลงอาญาด้วยหรือไม่ ประกอบกับกำลังจะมีการตราพระราชบัญญัติเพื่อนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการก่อความไม่สงบทางการเมืองขึ้น เช่นนี้ ผู้ที่ได้รับการนิรโทษกรรมตามพระราชบัญญัติดังกล่าว จะถือว่ามีลักษณะต้องห้ามตามข้อ ๘ (๗) หรือไม่ อย่างไร

ตอบ

“ ข้อความที่ว่า “ ต้องไม่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ...” นั้น หมายถึง ผู้ที่เคยรับโทษให้จำคุกในเรือนจำจริงๆ ตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาล ดังนั้น หากบุคคลดังกล่าวเพียงแต่ถูกศาลมีคำสั่งให้รอลงอาญาไว้
     สำหรับความผิดที่ศาลลงโทษถึงจำคุก บุคคลดังกล่าวจึงยังไม่มีลักษณะต้องห้ามตามข้อ ๘ (๗) สำหรับกรณีบุคคลซึ่งศาลมีคำพิพากษาว่ากระทำความผิดและมีโทษถึงจำคุก หรือรับโทษจำคุกอยู่ แต่ได้รับการนิรโทษกรรมโดยผลของพระราชบัญญัติซึ่งตราขึ้นเพื่อนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการก่อความไม่สงบทางการเมือง กรณีต้องเป็นไปตามที่พระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดไว้ กล่าวคือ หากพระราชบัญญัติดังกล่าว บัญญัติไว้โดยชัดแจ้งให้ถือว่าผู้นั้นไม่มีความผิดก็ดี หรือให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนก็ดี บุคคลดังกล่าวก็สามารถสมัครเข้ารับการสรรหาเพื่อเป็น ก.ธ.จ. ได้ โดยไม่ถือว่ามีลักษณะต้องห้ามตามข้อ ๘ (๗) แห่งระเบียบฯ ”
๕. กรณีไม่มีผู้สมัครเข้ารับการสรรหาเป็นผู้แทนภาคประชาสังคมของอำเภอ หรือมีผู้สมัครเข้ารับการสรรหาเพียงคนเดียวหรือสองคน อำเภอต้องดำเนินการอย่างไร

ตอบ

“ กรณีไม่มีผู้สมัครเข้ารับการสรรหาเป็นผู้แทนภาคประชาสังคม อำเภอต้องอาศัยเทคนิคในการประสานงานเพื่อชักชวนและขอความร่วมมือบุคคลในชุมชนของท่านให้เข้าร่วมในการสรรหา ทั้งนี้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีมีความมั่นใจในศักยภาพของอำเภอว่าย่อมสามารถหาผู้สมัครเพื่อเข้ารับการสรรหาได้
     กรณีมีผู้สมัครเข้ารับการสรรหาเป็นผู้แทนภาคประชาสังคมเพียงคนเดียว บุคคลดังกล่าวก็ย่อมถือเป็นผู้แทนภาคประชาสังคมของอำเภอโดยปริยาย โดยอำเภอไม่จำเป็นต้องจัดให้มีการประชุมเพื่อเลือกกันเองแต่อย่างใด แต่หากกรณีมีผู้สมัครเข้ารับการสรรหา ๒ คน ให้อำเภอจัดให้ผู้สมัครดังกล่าวจับสลากเพื่อให้ได้ผู้แทนภาคประชาสังคมของอำเภอ โดยไม่จำเป็นต้องให้ผู้สมัครลงคะแนนเพื่อเลือกกันเองก่อน ”
๖. กรณีองค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล หรือองค์การบริหารส่วนตำบล แจ้งต่ออำเภอว่า ไม่ประสงค์จะส่งผู้แทนเข้ารับการสรรหาเป็น ก.ธ.จ. อำเภอควรต้องดำเนินการอย่างไร

ตอบ

“ อำเภอควรชี้แจงไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล ที่แจ้งความประสงค์จะไม่ส่งผู้แทนเข้ารับการสรรหา ว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบลในฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครองของรัฐในระดับท้องถิ่น มีความผูกพันที่จะต้องปฏิบัติการตามกฎหมายและมติของคณะรัฐมนตรี เมื่อระเบียบฯ ฉบับนี้ได้ออกตามความในพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๕๕/๑ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล จึงมีความผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามระเบียบฯ
     ทั้งนี้ ระเบียบฯ ข้อ ๓๓ ได้กำหนดให้ หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินงานของ ก.ธ.จ อีกทั้ง โดยเจตนารมณ์ของระเบียบฯ แล้ว กรรมการผู้แทนสมาชิกสภาท้องถิ่นควรต้องมาจากผู้แทนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งที่มีในอำเภอ เพราะระเบียบฯ เน้นการมีส่วนร่วมขององค์กรภาคประชาชนทั้งหมดที่มีในพื้นที่ ดังนั้น องค์การบริหารส่วนจังหวัดเทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบลจึงมีหน้าที่ในการส่งผู้แทนเข้าร่วมในการสรรหาตามที่ระเบียบฯ กำหนด ”
๗. ผู้แทนสมาชิกสภาท้องถิ่นที่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาท้องถิ่น ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๘๕/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เรื่องการได้มาซึ่งสมาชิก สภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นเป็นการชั่วคราว และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ เรื่องการได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่นเป็นการชั่วคราว สามารถสมัครเข้ารับการสรรหาเป็น ก.ธ.จ. ได้หรือไม่

ตอบ

“ ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๘๕/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เรื่องการได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นเป็นการชั่วคราว และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ เรื่องการได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่นเป็นการชั่วคราว กำหนดให้ผู้แทนสมาชิกสภาท้องถิ่นที่ครบวาระการดำรงตำแหน่งการเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นนั้น ยังคงอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จึงทำให้มีคุณสมบัติในการสมัครเข้ารับการสรรหาเป็น ก.ธ.จ. ได้ ยกเว้นกรณีดำรงตำแหน่ง ก.ธ.จ. ติดต่อกันสองวาระ ”
๘. ในการลงคะแนนเพื่อเลือกกันเองนั้น ต้องจัดให้มีการลงคะแนนโดยลับหรือโดยเปิดเผย

ตอบ

“ กรณีดังกล่าวนี้ ระเบียบฯ ไม่ได้กำหนดไว้โดยชัดแจ้งว่าจะต้องดำเนินการลงคะแนน โดยลับหรือโดยเปิดเผย การลงคะแนนจึงสามารถลงคะแนนได้ทั้งโดยลับ หรือโดยเปิดเผย แล้วแต่มติของที่ประชุม ”
๑๐. ในการลงคะแนนเพื่อเลือกกันเองตามข้อ ๑๒ และข้อ ๑๓ แห่งระเบียบฯ หากผู้เข้าประชุมลงคะแนนเลือกผู้เข้าประชุมเพียงหนึ่งชื่อหรือเกินกว่าสองชื่อ ผลจะเป็นอย่างไร

ตอบ

“ ประเด็นนี้ เป็นประเด็นปัญหาที่คาดว่าอาจจะเกิดขึ้นได้ ดังนั้น ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจึงอาศัยอำนาจตามข้อ ๓๐ วินิจฉัยปัญหาดังกล่าว โดยออกเป็นประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ เรื่องแนวทางปฏิบัติในการสรรหากรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด ว่า การลงคะแนนเพื่อเลือกกันเองตามระเบียบฯ ข้อ ๑๒ และข้อ ๑๓ นั้น หากผู้ลงคะแนนรายใดปฏิบัติไม่เป็นไปตามระเบียบฯ เช่น ลงคะแนนเลือกผู้เข้าประชุมเพียงหนึ่งชื่อหรือเกินกว่าสองชื่อ ให้การลงคะแนนเฉพาะของผู้นั้นเสียไปและไม่อาจนำคะแนนดังกล่าวนับรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของคะแนนเพื่อกำหนดตัวผู้ที่ได้รับเลือกเป็นผู้แทนหรือกรรมการ และนำไปเรียงลำดับรายชื่อของผู้มีชื่อในบัญชีรายชื่อสำรองได้. ”
๑๑. ผู้ที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อสำรองแต่ไม่ได้รับการเลื่อนรายชื่อเพื่อดำรงตำแหน่งเป็น กรรมการภายในรอบวาระการดำรงตำแหน่ง ต่อมาเมื่อมีการสรรหา ก.ธ.จ. เมื่อกรรมการดำรงตำแหน่ง ครบวาระ และมีการจัดทำบัญชีรายชื่อสำรองขึ้นใหม่ บุคคลดังกล่าวยังคงเป็นผู้ที่ได้คะแนนในลำดับถัดจากผู้ที่ได้รับเลือกเป็นกรรมการ และมีรายชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อสำรองอีกเช่นเดิม ดังนี้ หากการสรรหาในครั้งถัดไป (วาระที่สาม) บุคคลดังกล่าวได้รับการสรรหาเป็นกรรมการ เช่นนี้จะถือว่าต้องห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่ง เนื่องจากดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระซึ่งต้องห้ามตามข้อ ๑๘ วรรคหนึ่ง แห่งระเบียบฯ หรือไม่

ตอบ

“ การมีรายชื่อในบัญชีรายชื่อสำรองไม่ได้ทำให้บุคคลดังกล่าวมีสถานะเป็น ก.ธ.จ. ดังนั้น ทุกครั้งที่ได้รับการระบุชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อสำรองจึงไม่อาจนับในแต่ละครั้งนั้นเป็น ๑ วาระได้ จากกรณีข้างต้น บุคคลดังกล่าวจึงไม่ต้องห้ามตามข้อ ๑๘ วรรคหนึ่ง ที่กำหนดว่า กรรมการ ก.ธ.จ. จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้ ”
๑๒. การสรรหากรรมการผู้แทนภาคธุรกิจเอกชน หอการค้าจังหวัดหรือสภาอุตสาหกรรมจังหวัด หรือนายกสมาคมการค้า จะต้องแจ้งรายชื่อผู้แทนไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดจำนวนกี่คน

ตอบ

“ ข้อ ๑๔ แห่งระเบียบฯ กำหนดให้ประธานหอการค้าจังหวัดจัดประชุมสมาชิกเพื่อเลือกกันเองให้ได้ผู้แทนหอการค้าจังหวัด จำนวน ๕ คน และให้ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัด จัดประชุมสมาชิกเพื่อเลือกกันเองให้ได้ผู้แทนสภาอุตสาหกรรม จำนวน ๕ คน และให้นายกสมาคมการค้าที่ประสงค์จะส่งผู้แทนเข้ารับการคัดเลือกเป็นกรรมการผู้แทนภาคธุรกิจเอกชนจัดประชุมสมาชิกเพื่อเลือกกันเองให้ได้ผู้แทนสมาคมการค้าแห่งละ ๓ คน ดังนั้น ผู้ที่เกี่ยวข้องจึงต้องดำเนินการให้เป็นไปตามนัยระเบียบดังกล่าว แล้วแจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทราบ ”
๑๓. ประธานหอการค้าจังหวัดหรือประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดหรือนายกสมาคมการค้า มีสิทธิเป็นกรรมการผู้แทนภาคธุรกิจเอกชนได้หรือไม่

ตอบ

“ ประธานหอการค้าจังหวัด หรือประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัด หรือนายกสมาคมการค้าหากมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามข้อ ๑๕ แห่งระเบียบฯ ก็สามารถได้รับการเลือกเป็นผู้แทนเข้ารับการคัดเลือกเป็นกรรมการผู้แทนภาคธุรกิจเอกชนได้ ”
๑๔. การดำเนินการสรรหากรรมการผู้แทนภาคธุรกิจเอกชนในเขตจังหวัด โดยจัดประชุม เพื่อเลือกกันเองให้ได้ผู้แทน มีวิธีการประชุมกันอย่างไร

ตอบ

“ ข้อ ๑๔ แห่งระเบียบฯ กำหนดให้ประธานหอการค้าจังหวัด ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัด และนายกสมาคมการค้า จัดประชุมสมาชิกเพื่อเลือกกันเอง ดังนั้น วิธีการประชุมสมาชิกจะเป็นอย่างไร ก็อยู่ในดุลพินิจของประธานหอการค้าจังหวัด ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัด และนายกสมาคมการค้าที่จะดำเนินการ เพียงแต่ในทางปฏิบัติต้องแจ้งให้สมาชิกทุกคนได้ทราบถึงวัตถุประสงค์ของการประชุมและกำหนดวัน เวลาการประชุม ทั้งนี้ ข้อ ๑๔ แห่งระเบียบฯ ไม่ได้กำหนดให้ต้องจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี หรือประชุมวิสามัญแต่อย่างใด ”
๑๕. ตามแนวทางปฏิบัติในการสรรหา ก.ธ.จ. ที่กำหนดให้จังหวัดและอำเภอดำเนินการสรรหา ให้เป็นไปตามปฏิทินการสรรหา ก.ธ.จ. ที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจัดทำขึ้น หมายความว่าอย่างไร

ตอบ

“ ปฏิทินการสรรหาฯ ที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจัดทำขึ้นนั้น เป็นเพียงตัวอย่างของการกำหนดระยะเวลาเพื่อให้การปฏิบัติในแต่ละขั้นตอนของการสรรหามีความเหมาะสมและสามารถดำเนินการสรรหาได้แล้วเสร็จภายใน ๖๐ วัน ตามที่ระเบียบฯ ข้อ ๒๑ กำหนด ซึ่งอำเภอและจังหวัดย่อมสามารถปรับเปลี่ยนระยะเวลาให้เกิดความเหมาะสมกับสภาพการปฏิบัติงานของแต่ละอำเภอและจังหวัดได้ แต่ควรอยู่ในกรอบระยะเวลาที่กำหนด ตัวอย่างเช่น การตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เข้ารับการสรรหาเป็นผู้แทนภาคประชาสังคมของอำเภอ ซึ่งตามปฏิทินการดำเนินการสรรหา ก.ธ.จ. หมายเลข ๑ ในข้อ ๒ และข้อ ๓กำหนดให้ นายอำเภอตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัครและปิดประกาศรายชื่อผู้สมัครที่มีคุณสมบัติครบถ้วนภายใน ๕ วัน พร้อมทั้งแจ้งกำหนดนัดประชุมในระดับอำเภอ หากอำเภอไม่สามารถดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติและปิดประกาศได้ในช่วงเวลาที่กำหนด อำเภอก็สามารถปรับขยายระยะเวลาดังกล่าวได้เพื่อให้เกิดความเหมาะสม แต่ควรดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๑๓ วัน ตามระยะเวลาที่กำหนดในปฏิทิน เป็นต้น อย่างไรก็ดี ในการตรวจสอบคุณสมบัตินั้น นายอำเภอสามารถตรวจสอบว่าผู้สมัครเคยดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกิน ๒ วาระหรือไม่ ที่ www.ggc.opm.go.th นอกจากนั้นในใบสมัครเข้ารับการสรรหาผู้แทนภาคประชาสังคมเป็น ก.ธ.จ. ได้มีการกำหนดให้ผู้สมัครรับรองคุณสมบัติของตนเองเป็นเบื้องต้นอยู่แล้ว ซึ่งถือเป็นการบรรเทาภาระของอำเภอในการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เข้ารับการสรรหาในอีกทางหนึ่ง ”
๑๖. ตามข้อ ๑๘ แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด พ.ศ. ๒๕๕๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ กำหนดว่า ก.ธ.จ. มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ ๓ ปี นับแต่วันที่ ปนร. ลงนามรับรองรายชื่อกรรมการเป็นรายจังหวัด กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับการสรรหาอีกได้ แต่จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้ ดังนั้น ในการสรรหา ก.ธ.จ. ชุดที่ ๓ จะมี ก.ธ.จ. จำนวนหนึ่งที่ดำรงตำแหน่งติดต่อกันสองวาระ ทำให้ในวาระถัดไปไม่สามารถสมัครเป็น ก.ธ.จ. ได้ ในการนี้ จังหวัด และอำเภอ ควรดำเนินการเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติ ก.ธ.จ. อย่างไร

ตอบ

“ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้จัดทำโครงการระบบฐานข้อมูลคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับจังหวัด อำเภอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สามารถตรวจสอบคุณสมบัติเพื่อประกอบการสรรหา ก.ธ.จ. ได้ ที่เว็บไซต์ www.ggc.opm.go.th ”