- วันหยุดนักขัตฤกษ์
- กิจกรรมของ ก.ธ.จ.
ข่าวประชาสัมพันธ์และกิจกรรมล่าสุด
ความเป็นมาและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด
ความเป็นมา
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 87 ได้บัญญัติว่า รัฐต้องดําเนินการตามแนวนโยบายด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยการส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐทุกระดับ ในรูปแบบองค์กรทางวิชาชีพ หรือตามสาขาอาชีพที่หลากหลาย หรือรูปแบบอื่น เจตนารมณ์ที่บัญญัติไว้ดังกล่าวก็เพื่อให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งการมีส่วนร่วมของประชาชนมีดังนี้
- ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกําหนดนโยบาย และวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ทั้งในระดับชาติ และระดับท้องถิ่น
- ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการตัดสินใจทางการเมือง การวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งการจัดทําบริการสาธารณะ
- ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐทุกระดับ ในรูปแบบองค์กรทางวิชาชีพ หรือตามสาขาอาชีพที่หลากหลาย หรือรูปแบบอื่น
- ส่งเสริมให้ประชาชนมีความเข้มแข็งในทางการเมือง และจัดให้มีกฎหมาย จัดตั้งกองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมือง เพื่อช่วยเหลือการดําเนินกิจกรรมสาธารณะของชุมชน รวมทั้งสนับสนุนการดําเนินการของกลุ่มประชาชนที่รวมตัวกันในลักษณะเครือข่ายทุกรูปแบบให้สามารถแสดงความคิดเห็น และเสนอความต้องการของชุมชนในพื้นที่
- ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐทุกระดับ ในรูปแบบองค์กรทางวิชาชีพ หรือตามสาขาอาชีพที่หลากหลาย หรือรูปแบบอื่น
"
พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
(ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2550 มาตรา 55/1 ได้กําหนดให้มี
คณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด หรือเรียกโดยย่อว่า ก.ธ.จ.
ในทุกจังหวัด ยกเว้นกรุงเทพมหานคร
"
พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2550 มาตรา 55/1 ได้กําหนดให้มีคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด หรือเรียกโดยย่อว่า “ก.ธ.จ.” ในทุกจังหวัด ยกเว้นกรุงเทพมหานคร เพื่อทําหน้าที่สอดส่องและเสนอแนะการปฏิบัติภารกิจของหน่วยงานของรัฐในจังหวัดให้ใช้วิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี และเป็นไปตามหลักการที่กําหนดไว้ตามมาตรา 3/1 สําหรับจํานวน วิธีการสรรหาและการปฏิบัติหน้าที่ของ ก.ธ.จ. ให้เป็นไปตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี
สําหรับองค์ประกอบของ ก.ธ.จ. จะประกอบด้วยผู้แทนจาก 3 ภาคส่วน คือ ผู้แทนภาคประชาสังคม ผู้แทนสมาชิกสภาท้องถิ่นที่ไม่ได้ดํารงตําแหน่งผู้บริหาร และผู้แทนภาคธุรกิจเอกชนเป็นกรรมการ โดยมีผู้ตรวจราชการสํานักนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีเขตอํานาจในจังหวัดเป็นประธาน และมีฝ่ายเลขานุการ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่จากสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นเลขานุการหนึ่งคน ผู้ช่วยเลขานุการหนึ่งคน และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งข้าราชการในจังหวัดนั้น เป็นผู้ช่วยเลขานุการอีกหนึ่งคน
ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด พ.ศ. 2552 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2552 และมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2552 ซึ่งทําให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการสอดส่องและเสนอแนะการปฏิบัติภารกิจของหน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐในจังหวัด ให้ใช้วิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี เพื่อให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรม และมีความรับผิดชอบ ต่อมาได้มีการแก้ไขปรับปรุง ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2554 ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการสรรหากรรมการ การกําหนดสัดส่วนของกรรมการผู้แทนสมาชิกสภาท้องถิ่น การจัดทําบัญชีรายชื่อสํารอง ตลอดจนการลงคะแนนเพื่อเลือกกันเอง
ปัจจุบัน ก.ธ.จ. ทั่วประเทศมีจํานวน 76 คณะ รวม 1,387 คน (รวมประธานและฝ่ายเลขานุการ) โดยกรรมการมีวาระการดํารงตําแหน่งคราวละ 3 ปี นับแต่วันที่ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีประกาศรับรองรายชื่อกรรมการเป็นรายจังหวัด กรรมการซึ่งพ้นจากตําแหน่งตามวาระอาจได้รับการสรรหาอีกได้ แต่จะดํารงตําแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้ ทั้งนี้ จํานวน ก.ธ.จ. ในแต่ละจังหวัดมี ดังนี้
ตารางแสดงจํานวนกรรมการ ก.ธ.จ. ตามเกณฑ์จํานวนอําเภอของแต่ละจังหวัด
หมายเหตุ : จํานวนที่มี * หมายถึงจํานวนไม่เกินตัวเลขดังกล่าว
จำนวนอำเภอของจังหวัด | จำนวน ก.ธ.จ. ทั้งหมด | ประธาน (ผต.นร.) | จำนวน ก.ธ.จ. | ||
ภาค ประชาสังคม |
สมาชิก สภาท้องถิ่น |
ภาค ธุรกิจเอกชน |
|||
---|---|---|---|---|---|
ไม่เกิน 10 | 14 | 1 | 7* | 3 | 3 |
ตั้งแต่ 11-15 | 16 | 1 | 9 | 3 | 3 |
ตั้งแต่ 16-20 | 18 | 1 | 9 | 4 | 4 |
ตั้งแต่ 21 อำเภอ ขึ้นไป | 20 | 1 | 11 | 4 | 4 |
อำนาจหน้าที่ตามระเบียบฯ
1. ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด พ.ศ. 2552 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 ข้อ 22 กําหนดให้ ก.ธ.จ. มีอํานาจหน้าที่ ดังนี้
- สอดส่องผลการปฏิบัติภารกิจของหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐในจังหวัดให้ใช้วิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
- แจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่เกี่ยวข้อง แล้วแต่กรณี ดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ ในกรณีที่พบว่า มีการละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับ หรือมีกรณีทุจริต
- เสนอแนะแนวทางการปฏิบัติและการส่งเสริมตามหลักคุณธรรมจริยธรรมและธรรมาภิบาล เพื่อการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีของหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานของรัฐในจังหวัด
- ติดตามผลการปฏิบัติตามมติ ก.ธ.จ.
- แต่งตั้งที่ปรึกษาด้านวิชาการ การประชาสัมพันธ์ หรือด้านอื่น ๆ จํานวนไม่เกินสามคน
- เผยแพร่ผลการปฏิบัติหน้าที่ต่อสาธารณะตามที่เห็นสมควร
- ปฏิบัติภารกิจให้เป็นไปตามกฎหมายเพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวม ตลอดจนไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
- ปฏิบัติภารกิจเพื่ออํานวยความสะดวก ให้บริการ และสนองความต้องการของประชาชน
- ปฏิบัติภารกิจเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
- ปฏิบัติภารกิจให้เกิดผลสัมฤทธิ์ มีประสิทธิภาพ และมีความคุ้มค่า
- ปฏิบัติภารกิจโดยไม่มีขั้นตอนการปฏิบัติงานเกินความจําเป็น ให้ทันต่อสถานการณ์โดยเฉพาะในเรื่องที่เป็นความเดือดร้อนและทุกข์ยากของประชาชน
- ปฏิบัติภารกิจโดยยึดหลักการมีส่วนร่วมของประชาชน และการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส
- ปฏิบัติภารกิจโดยมีการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการปฏิบัติงานสม่ำเสมอและเผยแพร่ต่อสาธารณะ
อำนาจหน้าที่ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 133/2557
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ มีคําสั่งที่ 69/2557 ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2557 เรื่อง มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบ ข้อ 1 ได้กําหนดให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ กําหนดมาตรการหรือแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบในส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ โดยมุ่งเน้นการสร้างธรรมาภิบาลในการบริหารงาน และส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในการตรวจสอบ เฝ้าระวัง เพื่อสกัดกั้นมิให้เกิดการทุจริตประพฤติมิชอบได้ ซึ่งต่อมา เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2557 นายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) ได้แถลงนโยบายรัฐบาล ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในด้านการส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาล และการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐว่า ให้ส่งเสริมและสนับสนุนภาคีองค์กรภาคเอกชนและเครือข่ายต่างๆ ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อสอดส่อง เฝ้าระวัง ตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้มีคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ 133/2557 ลงวันที่ 7 ตุลาคม 2557 เรื่องปรับปรุงคําสั่งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค โดยกําหนดให้การกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคตามคําสั่งนี้ หมายถึง “การตรวจราชการ การขอให้เจ้าหน้าที่ของรัฐรายงานเหตุการณ์และผลการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาล และนายกรัฐมนตรี ยุทธศาสตร์ของชาติ ยุทธศาสตร์กลุ่มจังหวัด และยุทธศาสตร์จังหวัด การประสานราชการเพื่อให้เกิดการบูรณาการยุทธศาสตร์กลุ่มจังหวัดและยุทธศาสตร์จังหวัด ไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม การเร่งรัด การติดตามผล การให้คําแนะนําช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ และการประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมถึงการตรวจสอบความถูกต้องในการดําเนินโครงการและการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐโดยให้คณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดมีส่วนร่วมในการตรวจสอบด้วย” ซึ่งจะเห็นได้ว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันได้ให้ความสําคัญกับบทบาทขององค์กรภาคประชาชนในการมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการใช้อํานาจของรัฐ
เพื่อให้การปฏิบัติภารกิจตามอํานาจหน้าที่ของ ก.ธ.จ. ตามคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ 133/2557 ลงวันที่ 7 ตุลาคม 2557 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีทิศทางและมาตรฐานเดียวกัน สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีจึงได้กําหนดแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ของ ก.ธ.จ. กรณีการมีส่วนร่วมในการตรวจสอบความถูกต้องในการดําเนินโครงการและการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ ดังนี้
- การตรวจสอบความถูกต้องในการดําเนินโครงการและการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐในการกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ให้เป็นดุลยพินิจของรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีที่กํากับดูแลในแต่ละพื้นที่ โดยให้ผู้ตรวจราชการสํานักนายกรัฐมนตรีในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ นําเรียนหารือในเรื่องดังกล่าว
- กรณีที่รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเห็นสมควรให้มีการตรวจสอบความถูกต้องในการดําเนินโครงการและการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐตามแผนงานโครงการใด ให้ ก.ธ.จ. มีส่วนร่วมในการแสวงหาข้อเท็จจริงหรือเอกสารหลักฐานต่างๆ แล้วนําเสนอที่ประชุม ก.ธ.จ. เพื่อมีมติให้เสนอรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว
- กรณีที่รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเดินทางไปกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่ เมื่อ ก.ธ.จ. ได้รับแจ้งจากฝ่ายเลขานุการ ก.ธ.จ. (ผู้ช่วยผู้ตรวจราชการสํานักนายกรัฐมนตรี) แล้ว ให้มีผู้แทน ก.ธ.จ. จํานวน 2 คน ตามมติที่ประชุม ก.ธ.จ. เข้าร่วมกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่
- ให้ฝ่ายเลขานุการ ก.ธ.จ. (ผู้ช่วยผู้ตรวจราชการสํานักนายกรัฐมนตรี) สนับสนุนข้อมูลแผนงาน/โครงการที่รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีมีกําหนดเดินทางไปกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่ พร้อมทั้งอํานวยความสะดวกในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กับผู้แทน ก.ธ.จ. ที่ได้รับมอบหมาย